วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับครีมกันแดด
อากาศร้อน และแดดแรง อย่างประเทศไทย ครีมกันแดดจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพผิว เมื่อต้องเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับตัวเองมองดูฉลากข้างกล่องแล้วก็มีศัพท์ที่น่าสนใจ ให้เราต้องเลือกดังนี้ 1. "SPF" ย่อมาจาก Sun Protection Factor เป็นค่าในการชี้วัดว่าเราสามารถอยู่กลางแสงแดดได้นานแค่ไหน โดยที่ไม่รู้สึกร้อนหรือแสบบริเวณผิว เช่นถ้าเรามีผิวที่แพ้แสงแดดและแสบร้อนง่ายในเวลา 20 นาที ครีมกันแดดที่มี SPF 15จะช่วยปกป้องเราจากแสงแดดได้นาน 15 เท่า และเมื่ออยู่กลางแดดมากๆ ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงขึ้น 2. "Waterproof" แม้จะเขียนว่า Waterproof (กันน้ำ) แต่ก็ไม่สามารถกันน้ำได้ 100% ดังนั้น เพื่อให้ได้ผลต้องทาครีมกันแดดอย่างต่อเนื่อง โดยทาซ้ำทุกครั้งที่เหงื่อออก หรือทุกครั้งในช่วงพักว่ายน้ำ 3. "UVA และ UVB" ถ้าเขียนไว้ว่า.. มี UVA หมายถึง ครีมกันแดดนั้น มีคุณสมบัติ ป้องกันกระ ฝ้า และป้องกันริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย แต่ถ้าเขียนไว้ว่า.. มี UVB หมายถึง ครีมกันแดดนั้นมีคุณสมบัติ ป้องกันอาการแพ้ แดง แสบและไหม้ของผิวหนัง หวังว่า..จะเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับตัวเองได้ดีขึ้นส่วนเทคนิคในการใช้งานครีมกันแดดที่ต้องจำไว้ให้แม่นๆก็คือ ครีมกันแดด ไม่สามารถป้องกันแสงแดดได้ 100%ดังนั้น เมื่อต้องออกแดด เช่น เล่นกีฬากลางแจ้งควรสวมแว่นกันแดด หรือหมวกกันแดดจะป้องกันได้มากขึ้น ส่วนการทาผิวควรเกลี่ยครีมให้เรียบเสมอ และทาให้ทั่วบริเวณที่ต้องการปกป้องจากแดด เพื่อป้องกันผิวด่างดำเฉพาะที่ และเลิกใช้ทันทีถ้ามีอาการแพ้ มีผื่นแดง และคัน ที่มา : นิตยสาร "ผาสุก" (phasuk) บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด ปีที่ 31 ฉบับที่ 163 เมษายน - มิถุนายน 2551
รู้จักกับสารส้มระงับกลิ่นกาย
สารส้ม หรือ Alum มาจากภาษาละตินคำว่า.. "Alumen" แปลว่า.."สารที่ทำให้หดตัว (astringent)" ซึ่งเป็นเกลือเชิงซ้อนของสารประกอบที่มีธาตุอะลูมิเนียม และซัลเฟต เป็นส่วนประกอบหลักแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ - อะลูมิเนียมซัลเฟต ลักษณะเป็นก้อนผงสีขาว- โพแทสเซียมอะลั่ม ลักษณะเป็นผลึกใสไม่มีสี- แอมโมเนียมอะลั่ม ลักษณะเป็นผลึกใสไม่มีสีทุกประเภทสามารถนำไปใช้ประโยชน์แบบเดียวกันได้กลิ่นที่เกิดจากแบคทีเรียเป็นต้นเหตุที่ทำให้เรามีกลิ่นตัว ด้วยคุณสมบัติของสารส้มที่ช่วยลดกลิ่นและแบคทีเรีย จึงสามารถนำสารส้มมาใช้กำจัดกลิ่นตัวได้ 100 % นานถึง 24 ชั่วโมง และยังถ่วงการเกิดกลิ่นได้ไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมงอีกด้วย โดยตัวของสารส้มไม่มีอันตรายต่อผิวหนัง เพราะไม่ได้กลับเข้าสู่ผิวหนัง จึงไม่เกิดอาการแพ้ในปัจจุบันนิยมนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นตัวทาที่รักแร้กันมากเพราะไม่ทำให้รักแร้ดำ มีหลายแบบ เช่น แบบแท่ง, แบบผงแป้ง, แบบโรลออน และแบบสเปรย์ ซึ่งมีข้อดีแตกต่างกันไป แล้วแต่ความเหมาะสมที่ผู้ใช้จะเลือกซื้อ สิ่งที่ควรดูก่อนตัดสินใจซื้อ- กรณีที่ไม่ใช่ผลึกสารส้ม 100% (มีส่วนประกอบอื่นๆ เช่น สี และกลิ่นด้วย)ควรเลือกที่มีส่วนประกอบของ อะลูมิเนียมซัลเฟต โพแทสเซียมอะลัม หรือแอมโมเนียมอะลัม ในปริมาณที่มากที่สุด เพื่อประสิทธิภาพที่มั่นใจได้ - กรณีที่เป็นโรลออน สเปรย์ และผงแป้ง ควรตรวจเช็คสภาพของผลิตภัณฑ์ วันผลิต หรือวันหมดอายุทุกครั้ง แม้ว่าสารส้มจะช่วยระงับกลิ่น แตก็ไม่ได้กำจัดเชื้อราดังนั้นแม้ตัวไม่เหม็นก็ต้องอาบน้ำ ไม่อย่างนั้นอาจมีโรคผิวหนังประเภทอื่นๆ เกิดขึ้นแทนที่มา : นิตยสารชีวจิต, http://drug.pharmacy.psu.ac.th/Question.asp?ID=1440,http://drug.pharmacy.psu.ac.th/Question.asp?ID=2699
มารยาท และวิธีทานปลาดิบ (sashimi) ให้อร่อย
ในจานปลาดิบที่มีปลา 2, 3 ชนิดรวมกันนอกนั้นจะมีสาหร่าย หัวผักกาด และอื่นๆรวมอยู่ในภาชนะด้วย จะคีบชิ้นไหนทานก่อนนั้นมีเคล็ดลับว่า ควรทานจากชิ้นเล็กที่สุดจะทำให้รู้สึกอร่อยกว่าเลือกทานตามใจชอบอย่าละลายวาซาบิ (wasabi) ลงในน้ำโชยุ (shoyu) เพราะจะทำให้กลิ่นหอมของวาซาบิเสียไป วิธีที่แนะนำมี 2 วิธี คือ1. ใช้วาซาบิแตะปลาดิบ แล้วจึงแตะโชยุ2. วางก้อนวาซาบิด้านในขอบถ้วยโชยุ แล้วนำปลาดิบแตะวาซาบิจากบนลงล่างเพื่อแตะโชยุถ้วยใส่โชยุสามารถใช้มือถือขึ้นมาได้แต่ให้ระวังท่าทางในการทาน โดยในขณะยกถ้วยขึ้นมาอย่าก้มตัวเข้าหาถ้วยและจะยกถ้วยโชยุสูงระดับอกเพื่อจะได้ไม่หยดหรือใช้กระดาษรองกันน้ำโชยุหกใส่โต๊ะก็ได้ในการทานนั้นตามมารยาทแล้วไม่ควรแกว่งปลาดิบไปมาในถ้วยโชยุ หรือจุ่มจนท่วมชิ้นปลาดิบส่วนผักเคียงในจานปลาดิบจะทานหรือไม่ก็ได้ ไม่ถือเป็นการผิดมารยาทหมายเหตุ : โชยุ คือ ซีอิ๊วญี่ปุ่นที่มา: หนังสือมารยาทสากลในการรับประทานอาหาร (ฝรั่ง-ญี่ปุ่น-จีน) จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ทฤษฎี
การขับรถยนต์ให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง
ในวันที่น้ำมันเชื้อเพลิงมีการขึ้นราคาอย่างต่อเนื่องทั่วโลกเช่นนี้ หากเราไม่สามารถหยุดหรือเลิกใช้น้ำมันได้ การประหยัดคงเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ให้เราได้สบายใจสบายเงินในกระเป๋ากันมากขึ้น การขับรถที่คุณใช้อยู่นั้นก็มีวิธีขับที่ช่วยประหยัดน้ำมัน ได้ง่ายๆ ดังนี้ 1. ขณะสตาร์ทรถ ไม่เปิดเครื่องปรับอากาศ ไฟหน้ารถ และเครื่องเสียงจะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น เปลืองน้ำมัน 10%2. ไม่อุ่นเครื่องยนต์ก่อนขับเคลื่อนตัวรถ เพียงขับเคลื่อนรถเบาๆ 1-2 ก.ม.เครื่องยนต์จะอุ่นเอง ไม่จำเป็นต้องอุ่นเครื่องยนต์แล้วจอดอยู่กับที่ เพราะการติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้ 2 นาที สิ้นเปลืองน้ำมัน 40 ซีซี.3. ไม่เบิ้ล ไม่บิดเครื่องยนต์ การเบิ้ลเครื่องยนต์ ขณะเกียร์ว่าง 10 ครั้ง ส่งผลให้รถจักรยานยนต์ สิ้นเปลืองน้ำมัน 15 ซีซี., รถปิคอัพ รถตู้ รถแวน สิ้นเปลืองน้ำมัน100 ซีซี. และรถบรรทุก สิ้นเปลืองน้ำมัน 300 ซีซี.4. ขับรถระยะไกล ด้วยความเร็วคงที่ และไม่เกินป้ายจำกัดความเร็วอัตราความเร็วรถที่เหมาะสมที่จะประหยัดน้ำมันได้มากที่สุดคือ 60 - 80 ก.ม./ช.ม.อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันในการขับรถยนต์ที่ความเร็วต่างๆ กัน เปรียบเทียบได้ดังนี้- ความเร็ว 95 ก.ม./ช.ม. จะสิ้นเปลืองน้ำมั่นกว่า 80 ก.ม./ช.ม. ประมาณ 15%- ความเร็ว 110 ก.ม./ช.ม. จะสิ้นเปลืองน้ำมั่นกว่า 80 ก.ม./ช.ม. ประมาณ 29%- ความเร็ว 100 ก.ม./ช.ม. จะสิ้นเปลืองน้ำมั่นกว่า 90 ก.ม./ช.ม. ประมาณ 10%- ความเร็ว 110 ก.ม./ช.ม. จะสิ้นเปลืองน้ำมั่นกว่า 90 ก.ม./ช.ม. ประมาณ 25%5. ก่อนถึงไฟแดงชะลอความเร็วแต่เนิ่นๆ ด้วยการถอนคันเร่ง และค่อยเหยียบเบรก นอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันแล้วยังช่วยยืดอายุผ้าเบรก6. ปิดเครื่องปรับอากาศก่อนถึงที่หมาย 2-3 นาที ประหยัดน้ำมันได้ 30 ซีซี. 7. ขับ 91 เติม 91 เลือกเติมน้ำมันที่มีค่าออกเทนเหมาะสมกับเครื่องยนต์การเติมน้ำมันออกเทน 95 ทั้งๆ ที่รถของคุณใช้ออกเทน 91 ได้ ทำให้คุณเสียเงินเพิ่มและไม่ช่วยให้เครื่องยนต์แรงขึ้น8. สังเกตอาการผิดปกติของรถ ควันไอเสียมีสีดำ หรือขาวผิดปกติ เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ที่ไม่สมบูรณ์ มีผลให้สิ้นเปลืองน้ำมัน9. ควรดับเครื่องยนต์ขณะจอดรถคอย เพราะการติดเครื่องยนต์จอดรถเป็นเวลา 5 นาที จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 100 ซีซี.10. เติมลมยางให้ถูกต้องตามกำหนด ถ้ายางอ่อนเกินไปจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นนำมาฝากกันแค่เพียง 10 ข้อเท่านี้ และถ้าสนใจเกี่ยวกับการประหยัดพลังงานในด้านอื่น ติดตามอ่านได้ในคู่มือที่ลิงค์ไว้ด้านล่าง หรือหากต้องการทราบข่าวสารเกี่ยวกับพลังงานในประเทศไทยสามารถอ่านได้ที่ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (http://www.eppo.go.th)ที่มา : - หนังสือ การขับรถ และงานบำรุงรักษารถยนตร์ โดย ศิระ บุญธรรมกุล และพงษ์ศักดิ์ บุญธรรมกุล- คู่มือแข่งขันประหยัดน้ำมัน รวมพลังหยุดรถซดน้ำมันโดย ศูนย์อนุรักษ์พลังงานแห่งประเทศไทย- คู่มือประหยัดพลังงานเพื่อประชาชน โดย สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานกระทรวงพลังงาน
รวบรวมข้อมูลโดย: งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด
รวบรวมข้อมูลโดย: งานพัฒนาและจัดการสารสนเทศ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศห้องสมุด
ความเป็นมาของรางวัลโนเบล (Nobel prize
อัลเฟร็ด โนเบล (Alfred Nobel) นักเคมีชาวสวีเดน ผู้ประดิษฐ์ชุดดินระเบิดที่เรียกว่า ไนโตรกลีเซอรีน (Nitroglycerine) หรือระเบิดไดนาไมต์ รู้สึกเสียใจที่ระเบิดของเขาถูกนำไปใช้ในการคร่าชีวิตมนุษย์ เมื่อเขาเสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1896เขาระบุในพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติให้นำไปตั้งมูลนิธิโนเบล เพื่อเป็นการสนับสนุน และมอบรางวัลให้แก่บุคคลที่มีผลงานวิจัยหรือสิ่งประดิษฐ์ที่โดดเด่น หรือสร้างคุณประโยชน์ให้กับมนุษยชาติ โนเบลแสดงเจตนารมณ์ไว้ในพินัยกรรมของเขาอย่างชัดแจ้งว่า "...It is my express wish that in awarding the prizes no consideration be given to the nationality of the candidates, but that the most worthy shall receive the prize, whether he be Scandinavian or not. ..." ซึ่งหมายถึง ผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับรางวัลนี้ต้องเป็น "บุคคลผู้อำนวยคุณประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ" โดยไม่จำกัดว่าบุคคลผู้นั้นจะมีเชื้อชาติไหน พูดภาษาใด
พิธีมอบรางวัลโนเบลจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในวันที่ 10 ธันวาคม โดยจัดขึ้นครั้งแรกหลังจากโนเบลเสียชีวิตไปได้ 5 ปี (ค.ศ. 1901) มี 5 สาขา คือ คือ ฟิสิกส์(physics) เคมี (chemistry) การแพทย์และสรีรวิทยา (physiology ormedicine) วรรณกรรม (literature) สันติภาพ (peace) และในปี ค.ศ. 1969จึงเพิ่มรางวัลอีก 1 สาขา คือสาขาเศรษฐศาสตร์ (economic) ผู้พระราชทานรางวัลโนเบลคือ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรสวีเดนแม้ว่าบางปีรางวัลบางสาขาอาจไม่มีการตัดสิน แต่มีข้อกำหนดว่าระยะเวลาของการเว้นการมอบรางวัลต้องไม่เกิน 5 ปี รางวัลที่มอบให้ประกอบด้วย เหรียญทองที่ด้านหน้าสลักเป็นรูปหน้าของอัลเฟร็ด โนเบล พร้อมใบประกาศเกียรติคุณและเงินสด
รางวัลโนเบลถือ เป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่และทรงเกียรติของชาวโลก ถือเป็นสิ่งที่เชิดชูเกียรติ บ่งบอกถึงความเก่งกาจ ยอดเยี่ยม และเป็นผู้อุทิศตนเพื่อความเจริญก้าวหน้า ความสงบและสันติของสังคมโลก
ที่มา : หนังสือ NOBEL PRIZE 100 ผู้พิชิตรางวัลโนเบล ผู้เขียน ศ.ดร. สุทัศน์ ยกส้าน, รศ. ดร. ญาดา ประภาพันธ์, พ.ท.ผศ.ดร. พีรพล สงนุ้ย, พ.ท.ผศ.ดร. ศรศักร ชูสวัสดิ์, ร.อ. ชุมพล รักงาม, พ.อ.หญิง ชมนาค เทียมพิภพ, ลอองทิพย์ อัมรินทร์รัตน์, วรุณยุพา ฮอล ลิงกา
พิธีมอบรางวัลโนเบลจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในวันที่ 10 ธันวาคม โดยจัดขึ้นครั้งแรกหลังจากโนเบลเสียชีวิตไปได้ 5 ปี (ค.ศ. 1901) มี 5 สาขา คือ คือ ฟิสิกส์(physics) เคมี (chemistry) การแพทย์และสรีรวิทยา (physiology ormedicine) วรรณกรรม (literature) สันติภาพ (peace) และในปี ค.ศ. 1969จึงเพิ่มรางวัลอีก 1 สาขา คือสาขาเศรษฐศาสตร์ (economic) ผู้พระราชทานรางวัลโนเบลคือ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรสวีเดนแม้ว่าบางปีรางวัลบางสาขาอาจไม่มีการตัดสิน แต่มีข้อกำหนดว่าระยะเวลาของการเว้นการมอบรางวัลต้องไม่เกิน 5 ปี รางวัลที่มอบให้ประกอบด้วย เหรียญทองที่ด้านหน้าสลักเป็นรูปหน้าของอัลเฟร็ด โนเบล พร้อมใบประกาศเกียรติคุณและเงินสด
รางวัลโนเบลถือ เป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่และทรงเกียรติของชาวโลก ถือเป็นสิ่งที่เชิดชูเกียรติ บ่งบอกถึงความเก่งกาจ ยอดเยี่ยม และเป็นผู้อุทิศตนเพื่อความเจริญก้าวหน้า ความสงบและสันติของสังคมโลก
ที่มา : หนังสือ NOBEL PRIZE 100 ผู้พิชิตรางวัลโนเบล ผู้เขียน ศ.ดร. สุทัศน์ ยกส้าน, รศ. ดร. ญาดา ประภาพันธ์, พ.ท.ผศ.ดร. พีรพล สงนุ้ย, พ.ท.ผศ.ดร. ศรศักร ชูสวัสดิ์, ร.อ. ชุมพล รักงาม, พ.อ.หญิง ชมนาค เทียมพิภพ, ลอองทิพย์ อัมรินทร์รัตน์, วรุณยุพา ฮอล ลิงกา
ผักจำพวกกะหล่ำทานนึ่งดีกว่าต้ม
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวอร์วิค ประเทศอังกฤษ พบว่าการต้มผักอย่างบร๊อคโคลี่ กะหล่ำปม กะหล่ำดอก จะทำให้สารที่เป็นคุณประโยชน์ในการต่อต้านโรคมะเร็งลดลงถึง 75%
จากผลการวิจัยก่อนหน้านี้ทำให้ทราบว่าผักเหล่านี้มีสาร "กลูโคซิโนเลตส์"(Glucosinolates) ที่มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้กระเพาะปัสสาวะ และปอดลงได้ถึง 60% แต่ไม่เคยทราบว่า การเก็บรักษาและการหุงต้ม จะทำให้มันเสียหายลงหรือไม่
หัวหน้านักวิจัย ปอล เจ ทอมมอลเลย์ แห่งโรงเรียนแพทย์วอร์วิค กล่าวว่าเพื่อเป็นการรักษาสารตัวนี้ไว้ คุณควรนึ่งผักประมาณ 20 นาทีเท่านั้นเพื่อรักษาคุณค่าทางสารอาหารเอาไว้ และรักษาคุณค่าในการป้องกันโรคมะเร็งไว้ได้ถึง 80%
ที่มา : หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 28 พ.ค. 2550, นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 31 ฉบับที่ 6 เดือน ก.ค. 2550
จากผลการวิจัยก่อนหน้านี้ทำให้ทราบว่าผักเหล่านี้มีสาร "กลูโคซิโนเลตส์"(Glucosinolates) ที่มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้กระเพาะปัสสาวะ และปอดลงได้ถึง 60% แต่ไม่เคยทราบว่า การเก็บรักษาและการหุงต้ม จะทำให้มันเสียหายลงหรือไม่
หัวหน้านักวิจัย ปอล เจ ทอมมอลเลย์ แห่งโรงเรียนแพทย์วอร์วิค กล่าวว่าเพื่อเป็นการรักษาสารตัวนี้ไว้ คุณควรนึ่งผักประมาณ 20 นาทีเท่านั้นเพื่อรักษาคุณค่าทางสารอาหารเอาไว้ และรักษาคุณค่าในการป้องกันโรคมะเร็งไว้ได้ถึง 80%
ที่มา : หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 28 พ.ค. 2550, นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 31 ฉบับที่ 6 เดือน ก.ค. 2550
มารู้จักกับ FBI (เอฟบีไอ
ดูเท่ไหม?.. เวลาที่ตำรวจในหนังฮอลลีวูดพูดว่า.. "หยุดอย่าขยับนี่เจ้าหน้าที่ FBI" เจ้าหน้าที่ FBI ก็คือตำรวจประเภทหนึ่ง แต่เคยสงสัยกันหรือไม่ ว่าเจ้าหน้าที่ FBIคือตำรวจอะไร?
FBI นั้นย่อมาจาก Federal Bureau of In vestigation เป็นหน่วยสืบสวนคดีอาญาของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1908 ชื่อเดิมคือ Bureau of Investigationในปี ค.ศ. 1924 ได้มีการปรับปรุงหน่วยงานขึ้นใหม่ และได้กำหนดนโยบายของหน่วยงานที่ชัดเจนขึ้น และในปี ค.ศ. 1935 เปลี่ยนชื่อเป็น Federal Bureauof In vestigation (ซื่อเดียวกับปัจจุบัน)
ีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. (Washington, D.C.) และยังมีสำนักงานอยู่ตามเมืองยุทธศาสตร์ที่สำคัญอีก 58 แห่ง ทั่วสหรัฐอเมริกาและเปอร์โตริโก
หน้าที่หลัก คือ สอบสวน และสืบสวนคดีของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เช่น การละเมิดกฏหมายของรัฐบาลกลาง การก่อวินาศกรรม การก่อการร้าย เป็นต้น
เอฟบีไอมีหน่วยรวบรวมรูปพรรณบุคคล (Identification Division) และได้ตั้งระบบรายงานอาชญากรรม (Criminal Report System) ซึ่งเน้นการนำหลักวิทยาศาสตร์ มาใช้ในการสืบสวน สอบสวน และหาพยานหลักฐาน นอกจากนั้น ยังมีห้องปฏิบัติการทางด้านเคมีเพื่อใช้ในการพิสูจน์หลักฐานประกอบการสืบสวนอีกด้วย
ต่อมา ขอบเขตอำนาจของเอฟบีไอได้ขยายมากขึ้นตามความเจริญก้าวหน้าของโลกปัจจุบัน เพราะ..เมื่อผู้ก่อการร้ายใช้วิธีใหม่ๆ ในการก่อความไม่สงบFBI ก็ต้องพัฒนาให้ทันเพื่อการต่อกร จึงนับว่าเป็นองค์กรที่ต้องเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อความสงบสุขของประชาชนสหรัฐอเมริกา
ที่มา : หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ วันที่ 14 ตุลาคม 2551 คอลัมน์การศึกษา หมวดองค์ความรู้ภาษาไทย โดย อิสริยา เลาหตีรานนท์
FBI นั้นย่อมาจาก Federal Bureau of In vestigation เป็นหน่วยสืบสวนคดีอาญาของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1908 ชื่อเดิมคือ Bureau of Investigationในปี ค.ศ. 1924 ได้มีการปรับปรุงหน่วยงานขึ้นใหม่ และได้กำหนดนโยบายของหน่วยงานที่ชัดเจนขึ้น และในปี ค.ศ. 1935 เปลี่ยนชื่อเป็น Federal Bureauof In vestigation (ซื่อเดียวกับปัจจุบัน)
ีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. (Washington, D.C.) และยังมีสำนักงานอยู่ตามเมืองยุทธศาสตร์ที่สำคัญอีก 58 แห่ง ทั่วสหรัฐอเมริกาและเปอร์โตริโก
หน้าที่หลัก คือ สอบสวน และสืบสวนคดีของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เช่น การละเมิดกฏหมายของรัฐบาลกลาง การก่อวินาศกรรม การก่อการร้าย เป็นต้น
เอฟบีไอมีหน่วยรวบรวมรูปพรรณบุคคล (Identification Division) และได้ตั้งระบบรายงานอาชญากรรม (Criminal Report System) ซึ่งเน้นการนำหลักวิทยาศาสตร์ มาใช้ในการสืบสวน สอบสวน และหาพยานหลักฐาน นอกจากนั้น ยังมีห้องปฏิบัติการทางด้านเคมีเพื่อใช้ในการพิสูจน์หลักฐานประกอบการสืบสวนอีกด้วย
ต่อมา ขอบเขตอำนาจของเอฟบีไอได้ขยายมากขึ้นตามความเจริญก้าวหน้าของโลกปัจจุบัน เพราะ..เมื่อผู้ก่อการร้ายใช้วิธีใหม่ๆ ในการก่อความไม่สงบFBI ก็ต้องพัฒนาให้ทันเพื่อการต่อกร จึงนับว่าเป็นองค์กรที่ต้องเดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อความสงบสุขของประชาชนสหรัฐอเมริกา
ที่มา : หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ วันที่ 14 ตุลาคม 2551 คอลัมน์การศึกษา หมวดองค์ความรู้ภาษาไทย โดย อิสริยา เลาหตีรานนท์
น้ำมันมะกอก แก้นอนกรน
มะกอกจัดเป็นผลไม้ที่มีเม็ดในแข็ง หนึ่งลูกจะมีหนึ่งเมล็ด เป็นพืชที่ทนได้ทุกสภาวะอากาศ ดอกมะกอกจะออกช่อในช่วงปลายฤดูหนาว มีดอกเล็กๆ สีขาว ผลจะโตเต็มที่ประมาณ 7-8 เดือนหลังออกดอกลำต้นจะสูงตั้งแต่ 3 เมตร จนถึง 18 เมตร ใบเรียวยาวสีเขียวเข้ม มีหลากหลายพันธุ์ตัวผลมีรสขมและฝาด เมื่อแก่จัดสีจะเปลี่ยนจากเขียวจนเป็นสีคล้ำจนเกือบดำ มะกอกเป็นผลไม้ที่มีน้ำมันมากที่สุด ในผลมะกอกที่แก่จัด 100 กรัม ให้น้ำมันถึง 20-30 กรัม การสกัดเอาน้ำมันต้องเลือกผลที่แก่จัด จึงจะได้น้ำมันมะกอกที่มีประสิทธิภาพน้ำมันมะกอกถึงแม้จะมีแคลอรี่สูง แต่มีข้อดี คือ มีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง ทำให้ไม่เกิดไขมันสะสมในร่างกาย และน้ำมันมะกอกยังช่วยให้คนที่มีอาการนอนกรนลดเสียงกรนให้เบาลงได้ ด้วยการกินน้ำมันมะกอกสำหรับทำอาหาร ซึ่งควรเลือกแบบ EXTRA VIRGIN OLIVE OIL เพราะ เป็นแบบบริสุทธิ์ มีสีเขียวเข้มใส และนิยมนำมาใช้ในการทำสลัด กินสัก 4-5 หยดก่อนนอน ทำอย่างต่อเนื่อง และทำควบคู่ไปกับวิธีดูแลสุขภาพอื่นๆ ร่วมด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับมาตรฐาน จะช่วยแก้ปัญหานอนกรนให้หมดไปได้ที่มา : นิตยสารชีวจิต ฉบับ 1 มี.ค. 2552, ประโยชน์ของน้ำมันมะกอก - http://www.pantown.comมารู้จักน้ำมันมะกอก (Olive Oil) กันดีกว่า - http://googigg.exteen.com
ชาร้อนยับยั้งอัลไซเมอร์
ข่าวดีสำหรับผู้ป่วยอัลไซเมอร์ทุกท่าน ที่ต่อไปไม่ต้องทานยาเยอะๆ อีกต่อไปแล้วเพราะแค่คุณดื่มชาวันละแก้ว ก็สามารถยับยั้งการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้
ดร. เอ็ด โอเคลโล่ แห่งศูนย์วิจัยสมุนไพร มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ ได้รายงานผลการวิจัยว่า การที่คุณดื่มชาเขียวหรือชาดำวันละ 1 ถ้วยทุกวัน สามารถยับยั้งการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ เพราะในชาเขียว และชาดำ มีสารที่ช่วยยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาของเอ็นไซม์ที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้การดื่มชาเขียวยังสามารถป้องกันการเกิดปฏิกิริยาเบต้า-ซีเครเทส (Beta-secretase) ที่เป็นขั้นตอนในการผลิตตะกอนโปรตีนในสมองอันเป็นสาเหตุของการป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ แต่คุณจะต้องดื่มชาเขียวอย่างน้อย 1 อาทิตย์ถึงจะเห็นผลดี แต่หากคุณดื่มชาดำเพียงแค่ 1 วันคุณก็สามารถเห็นผลได้เร็วกว่าการดื่มชาเขียวหลายเท่า
ถึงแม้ว่าแพทย์จะไม่สามารถรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้หายได้ แต่จากการวิจัยเรื่องการดื่มชา ก็สามารถยับยั้งและลดภาวะเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ ราคาถูกผลข้างเคียงก็ไม่เกิด "ดื่มชาย่อมดีกว่าการรับประทานยานะคะ" ที่มา : คอลัมน์ Living Beware นิตยสาร ใกล้หมอฉบับเดือนพฤศจิกายน 2549 ปีที่ 30 ฉบับที่ 11
ดร. เอ็ด โอเคลโล่ แห่งศูนย์วิจัยสมุนไพร มหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ ได้รายงานผลการวิจัยว่า การที่คุณดื่มชาเขียวหรือชาดำวันละ 1 ถ้วยทุกวัน สามารถยับยั้งการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ เพราะในชาเขียว และชาดำ มีสารที่ช่วยยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาของเอ็นไซม์ที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้การดื่มชาเขียวยังสามารถป้องกันการเกิดปฏิกิริยาเบต้า-ซีเครเทส (Beta-secretase) ที่เป็นขั้นตอนในการผลิตตะกอนโปรตีนในสมองอันเป็นสาเหตุของการป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ แต่คุณจะต้องดื่มชาเขียวอย่างน้อย 1 อาทิตย์ถึงจะเห็นผลดี แต่หากคุณดื่มชาดำเพียงแค่ 1 วันคุณก็สามารถเห็นผลได้เร็วกว่าการดื่มชาเขียวหลายเท่า
ถึงแม้ว่าแพทย์จะไม่สามารถรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้หายได้ แต่จากการวิจัยเรื่องการดื่มชา ก็สามารถยับยั้งและลดภาวะเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ ราคาถูกผลข้างเคียงก็ไม่เกิด "ดื่มชาย่อมดีกว่าการรับประทานยานะคะ" ที่มา : คอลัมน์ Living Beware นิตยสาร ใกล้หมอฉบับเดือนพฤศจิกายน 2549 ปีที่ 30 ฉบับที่ 11
วาซาบิ (wasabi) เพื่อสุขภาพ
ถ้าบอกว่ามีสีเขียวทั้งเผ็ดและฉุนขึ้นจมูก ใช้รับประทานคู่กับปลาดิบ คุณคงต้องนึกถึงวาซาบิเป็นแน่ บางคนอาจจะร้องยี้ด้วยไม่ชอบรสชาติของมัน แต่รู้หรือไม่ว่าในความฉุนหรือเผ็ดนั้นมีคุณประโยชน์แฝงอยู่มากมาย สารในวาซาบิที่ให้รสเผ็ดและกลิ่นฉุนนั้น มีสรรพคุณในการยับยั้งการเจริญเติบโต ของจุลินทรีย์ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุ และยังพบสาร Isothiocyanate (ITCs) ซึ่งมีส่วนช่วยการยับยั้งการเจริญเติบโตของเอ็นไซม์ ที่ก่อให้เกิดหินปูนบนฟัน และยังมีฤทธิ์ต้านมะเร็งที่ปอด ลำไส้ใหญ่ ตับ หลอดอาหารและเต้านม อีกด้วย ที่มา :คอลัมน์ Living Beware นิตยสารใกล้หมอ Health Well- being ปีที่ 31 ฉบับที่ 2 เดือนมีนาคม 2550"วาซาบิ" : http://th.wikipedia.org/wiki/วาซาบิ"ระบบข้อมูลพืชผัก มหาวิทยาลัยแม่โจ้ : วาซาบิ" : http://www.agric-prod.mju.ac.th/vegetable/File_link/wasabi.pdf"วาซาบิมีประโยชน์ต่อสุขภาพ" : http://www.thaiclinic.com/thaiclinicnews/news_wasabi.html
ข้าวโพดสุกต้านมะเร็ง
ผลงานวิจัยในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกา ตีพิมพ์ผลงานของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐอเมริกาว่า ข้าวโพดหวานที่ต้มสุกแล้ว จะมีฤทธิ์ในการล้างพิษภายในร่างกายได้สูงกว่าปกติ
ในข้าวโพดหวานตามธรรมชาติ จะมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) อยู่ และมีตัวที่สำคัญคือ กรดเฟรุลิก (Felrulic Acid) จึงถูกใช้สำหรับต่อต้านการแก่ (aging) ป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง โรคหัวใจ ไข้หวัด รักษาสุขภาพของกล้ามเนื้อ ต่อต้านผลกระทบจากรังสีอัลตราไวโอเลต (จึงป้องกันมะเร็งผิวหนังได้)
จากผลการวิจัยพบว่า การต้มข้าวโพดที่ 115 องศาเซลเซียส มีผลดังนี้
เวลาที่ใช้ในการต้ม
ปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระ
ปริมาณของกรดเฟรุลิก
10 นาที
เพิ่มขึ้น 22%
เพิ่มขึ้น 240%
25 นาที
เพิ่มขึ้น 44%
เพิ่มขึ้น 550%
50 นาที
เพิ่มขึ้น 53%
เพิ่มขึ้น 900%
ทำให้สรุปได้ว่า ข้าวโพดหวานที่ผ่านการต้มหรือปิ้ง มีปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระ และกรดเฟรุลิกซึ่งมีประโยชน์สำหรับร่างกายเพิ่มมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเป็นเวลานานขึ้นแต่จะสูญเสียวิตามินบางตัว เช่น วิตามินซี ไปบ้างอย่างไรก็ตามข้าวโพดก็ไม่ใช่แหล่งที่ดีสำหรับวิตามินซีอยู่แล้ว
ที่มา : นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 31 ฉบับที่ 6 เดือนกรกฎาคม 2550, http://www.redcross.or.th/pr, หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับ วันอังคารที่ 8 เมษายน 2546, หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับ วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2545
ในข้าวโพดหวานตามธรรมชาติ จะมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) อยู่ และมีตัวที่สำคัญคือ กรดเฟรุลิก (Felrulic Acid) จึงถูกใช้สำหรับต่อต้านการแก่ (aging) ป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง โรคหัวใจ ไข้หวัด รักษาสุขภาพของกล้ามเนื้อ ต่อต้านผลกระทบจากรังสีอัลตราไวโอเลต (จึงป้องกันมะเร็งผิวหนังได้)
จากผลการวิจัยพบว่า การต้มข้าวโพดที่ 115 องศาเซลเซียส มีผลดังนี้
เวลาที่ใช้ในการต้ม
ปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระ
ปริมาณของกรดเฟรุลิก
10 นาที
เพิ่มขึ้น 22%
เพิ่มขึ้น 240%
25 นาที
เพิ่มขึ้น 44%
เพิ่มขึ้น 550%
50 นาที
เพิ่มขึ้น 53%
เพิ่มขึ้น 900%
ทำให้สรุปได้ว่า ข้าวโพดหวานที่ผ่านการต้มหรือปิ้ง มีปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระ และกรดเฟรุลิกซึ่งมีประโยชน์สำหรับร่างกายเพิ่มมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเป็นเวลานานขึ้นแต่จะสูญเสียวิตามินบางตัว เช่น วิตามินซี ไปบ้างอย่างไรก็ตามข้าวโพดก็ไม่ใช่แหล่งที่ดีสำหรับวิตามินซีอยู่แล้ว
ที่มา : นิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 31 ฉบับที่ 6 เดือนกรกฎาคม 2550, http://www.redcross.or.th/pr, หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับ วันอังคารที่ 8 เมษายน 2546, หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับ วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2545
ดื่มไวน์ป้องกันฟันผุ
เคยรู้กันว่าดื่มไวน์ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง และโรคหัวใจ แต่ข้อมูลจากงานวิจัยของ ศ.กาเบรียลลา กาซซานี(Gabriella Gazzani)มหาวิทยาลัยพาเวีย(University of Pavia) ประเทศอิตาลี ในวารสารAmerican Journal of Agricultural and food Chemistry พบว่าการดื่มไวน์ขาว หรือไวน์แดงวันละ 1 แก้วเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดฟันผุ โรคเหงือก และช่วยรักษาอาการเจ็บคอ
เนื่องจากส่วนผสมในไวน์จะทำหน้าที่เปรียบเสมือนตัวยับยั้งไมโครแบคทีเรียประเภท Streptococci ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดฟันผุ และแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในช่องทางเดินหายใจ และยังช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียชื่อ S.pyogenes ที่อาศัยอยู่ในช่องทางเดินหายใจ ซึ่งสามารถก่อให้เกิดอาการเจ็บคอและเป็นไข้ได้ที่มา : นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ 7ฉบับที่ 81 ตุลาคม 2550, American Journalof Agricultural and Food Chemistry
เนื่องจากส่วนผสมในไวน์จะทำหน้าที่เปรียบเสมือนตัวยับยั้งไมโครแบคทีเรียประเภท Streptococci ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดฟันผุ และแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในช่องทางเดินหายใจ และยังช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียชื่อ S.pyogenes ที่อาศัยอยู่ในช่องทางเดินหายใจ ซึ่งสามารถก่อให้เกิดอาการเจ็บคอและเป็นไข้ได้ที่มา : นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ 7ฉบับที่ 81 ตุลาคม 2550, American Journalof Agricultural and Food Chemistry
สหราชอาณาจักรกับอังกฤษ ต่างกันอย่างไร
ประเทศอังกฤษที่ชาวไทยรู้จัก มีชื่อเต็มว่า United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland แปลเป็นภาษาไทยว่า"สหราชอาณาจักร บริเตนใหญ่ และไอร์แลนด์เหนือ" เรียกสั้นๆ ว่า United Kingdom หรือ UK แปลเป็นภาษาไทยว่า สหราชอาณาจักร
สหราชอาณาจักรประกอบด้วยดินแดน 4 ส่วนหรือแคว้น- 3 ส่วนอยู่บนเกาะอังกฤษ คือ แคว้นอังกฤษหรืออิงแลนด์ แคว้นสกอตแลนด์และแคว้นเวลส์- 1 ส่วนอยู่บนเกาะไอร์แลนด์ คือ แคว้นไอร์แลนด์เหนือ
เหตุผลที่ผู้คนทั่วโลกเมื่อพูดถึงสหราชอาณาจักร มักจะใช้แต่คำว่าอังกฤษหรืออิงแลนด์ผู้รู้ส่วนใหญ่อธิบายว่า..อาจเป็นเพราะเหตุผลทางประวัติศาสตร์ คือ แคว้นอังกฤษ เป็นแคว้นใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลครอบงำแคว้นอื่นๆ ในสหราชอาณาจักร มาเป็นเวลานานเมื่อครั้งที่สหราชอาณาจักรเป็นเจ้าอาณานิคมทั่วโลก ผู้ปกครอง เจ้าหน้าที่และบรรดาพ่อค้า ก็มักจะเป็นคนจากแคว้นอังกฤษมากกว่าคนจากแคว้นอื่นๆจึงเป็นไปได้ว่าเมื่อมีคนถามว่า.."มาจากไหน"ก็จะได้ยินคำตอบว่า.."มาจากอิงแลนด์หรืออังกฤษ"คำว่า "อังกฤษ" จึงอาจกลายเป็นคำนามที่ใช้เรียกแทนสหราชอาณาจักร
นอกจากนี้สถานฑูตอังกฤษทั่วโลกจะใช้คำว่า British Embassy ไม่ได้ใช้คำว่าUK Embassy เรื่องนี้ผู้รู้บอกว่า British เป็นคำคุณศัพท์ของ Britain ซึ่งเป็นอีกคำหนึ่งที่ แปลว่า อังกฤษ เหมือนกัน ฉะนั้นการที่สถานฑูตอังกฤษจะใช้ว่า British Embassy จึงไม่น่าจะผิดอะไร
สำหรับคนต่างชาติ เวลาได้ยินหรือได้เห็นคำว่าBritain หรือตัวย่อ GB เช่น จากกีฬาโอลิมปิกโดยทั่วไปก็ตีความไปได้ทันทีว่า หมายถึงสหราชอาณาจักรทั้งประเทศซึ่งรวมถึงไอร์แลนด์เหนือด้วย
ที่มา : หนังสือ ถามข้ามฟ้าโดย ทีมงานวิทยุบีบีซีภาคภาษาไทย
สหราชอาณาจักรประกอบด้วยดินแดน 4 ส่วนหรือแคว้น- 3 ส่วนอยู่บนเกาะอังกฤษ คือ แคว้นอังกฤษหรืออิงแลนด์ แคว้นสกอตแลนด์และแคว้นเวลส์- 1 ส่วนอยู่บนเกาะไอร์แลนด์ คือ แคว้นไอร์แลนด์เหนือ
เหตุผลที่ผู้คนทั่วโลกเมื่อพูดถึงสหราชอาณาจักร มักจะใช้แต่คำว่าอังกฤษหรืออิงแลนด์ผู้รู้ส่วนใหญ่อธิบายว่า..อาจเป็นเพราะเหตุผลทางประวัติศาสตร์ คือ แคว้นอังกฤษ เป็นแคว้นใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลครอบงำแคว้นอื่นๆ ในสหราชอาณาจักร มาเป็นเวลานานเมื่อครั้งที่สหราชอาณาจักรเป็นเจ้าอาณานิคมทั่วโลก ผู้ปกครอง เจ้าหน้าที่และบรรดาพ่อค้า ก็มักจะเป็นคนจากแคว้นอังกฤษมากกว่าคนจากแคว้นอื่นๆจึงเป็นไปได้ว่าเมื่อมีคนถามว่า.."มาจากไหน"ก็จะได้ยินคำตอบว่า.."มาจากอิงแลนด์หรืออังกฤษ"คำว่า "อังกฤษ" จึงอาจกลายเป็นคำนามที่ใช้เรียกแทนสหราชอาณาจักร
นอกจากนี้สถานฑูตอังกฤษทั่วโลกจะใช้คำว่า British Embassy ไม่ได้ใช้คำว่าUK Embassy เรื่องนี้ผู้รู้บอกว่า British เป็นคำคุณศัพท์ของ Britain ซึ่งเป็นอีกคำหนึ่งที่ แปลว่า อังกฤษ เหมือนกัน ฉะนั้นการที่สถานฑูตอังกฤษจะใช้ว่า British Embassy จึงไม่น่าจะผิดอะไร
สำหรับคนต่างชาติ เวลาได้ยินหรือได้เห็นคำว่าBritain หรือตัวย่อ GB เช่น จากกีฬาโอลิมปิกโดยทั่วไปก็ตีความไปได้ทันทีว่า หมายถึงสหราชอาณาจักรทั้งประเทศซึ่งรวมถึงไอร์แลนด์เหนือด้วย
ที่มา : หนังสือ ถามข้ามฟ้าโดย ทีมงานวิทยุบีบีซีภาคภาษาไทย
บรั่นดี (brandy) คืออะไร
"บรั่นดี (brandy)" นั้น มาจากคำว่า "brandewijn" ซึ่งเป็นภาษาดัตช์ (Dutch)แปลว่า "burnt wine" ซึ่งหมายถึงการให้ความร้อนแก่เหล้าองุ่นเพื่อกลั่น ดังนั้นบรั่นดีจึงเป็นสุราชนิดแรงที่กลั่นจากเหล้าองุ่น แต่ถ้าเป็นชนิดที่กลั่นจากน้ำผลไม้อื่นๆหลังจากการหมักแล้วก็เรียกว่า บรั่นดีผลไม้ (bruit brandy) เช่น apple brandyทำจากแอปเปิ้ล peach brandy ทำจากพีช เป็นต้นคุณภาพของบรั่นดีขึ้นอยู่กับ คุณภาพของเหล้าองุ่นที่นำมากลั่น, กรรมวิธีที่ใช้ในการกลั่น, และที่สำคัญที่สุดก็คือการเลือกชนิดไม้ที่ใช้ทำถังเพื่อเก็บบ่มบรั่นดีหลังจากกลั่นแล้ว ซึ่งการเก็บบ่มสุราไว้ในถังไม้ที่เหมาะสมเป็นเวลานานปี จะเป็นการทำลายสารพิษต่างๆ เช่น fusel oils ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างกรรมวิธีการผลิตและเจือปนอยู่ในสุราให้หมดไปอีกด้วยบรั่นดีที่นิยมกันว่าเป็นชนิดที่ดีที่สุด คือ บรั่นดีที่ผลิตจากเมืองคอนยัก(Cognac) และเมืองอาร์มายัก (Armagnac) ประเทศฝรั่งเศส และเรียกชื่อบรั่นดีนี้ตามชื่อเมือง บรั่นดีทั้ง 2 ชนิดนี้ผู้ผลิตจะเก็บบ่มไว้ในถังไม้โอ๊กเป็นเวลาหลายๆ ปี ส่งผลให้สารแทนนินส์ (tannins) ที่มีอยู่ในเนื้อไม้ ละลายลงไปในบรั่นดีทำให้มีสีเหลืองอำพัน และทำให้มีกลิ่นหอม สำหรับบรั่นดีที่มีคุณภาพต่ำนั้นผู้ผลิตจะเติมสารคาโรเมล (caromel)ลงไป เพื่อทำให้บรั่นดีมีสีเหลือง และเติมวานิลลา (vanilla) ลงไปเพื่อปรุงกลิ่นสำหรับบรั่นดีที่เก็บบ่มไว้ในถังไม้โอ๊ก ซึ่งฉาบผิวด้วยขี้ผึ้งพาราฟิน (paraffin)หรือเก็บบ่มไว้ในภาชนะดินเผาจะมีลักษณะใสไม่มีสี บรั่นดีและสุราชนิดอื่นๆ เมื่อบรรจุขวดแล้วไม่ว่าจะเก็บไว้นานสักเท่าใด ก็ไม่มีผลทำให้คุณภาพดีขึ้นไปกว่าก่อนบรรจุขวดที่มา : - หนังสือวิทยาศาสตร์น่ารู้ (ชุดที่1 80เรื่อง) โดย ดร.บุญพฤกษ์ จาฏามระ- http://us.geocities.com/zoneubon/cocktail.htm
5 สิ่งน่ารู้เกี่ยวกับพริกป่น
เรารับประทานพริกป่นเป็นอาหารหลักกันมานมนาน คุณเคยรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของพริกป่นบ้างไหมคะ...การค้นพบนี้ต่างประเทศเขาตื่นเต้นกันยกใหญ่ เสียแต่เขามีข้อจำกัดที่แพ้รสเผ็ดร้อนของพริกกัน ซึ่งเทียบกับเราแล้วถือว่าได้เปรียบมาก 1. ในพริกป่นมีทั้งรสและกลิ่นเผ็ดร้อนที่ช่วยให้เกิดอาการตื่นตัว ซึ่งส่วนประกอบในพริกที่ทำเรารู้สึกอย่างนั้นก็คือ capsaicin
2. มีการศึกษาพบว่า capsaicin ในพริกมีความสามารถในการกำจัดเซลล์มะเร็ง โดยไม่ทำลายเซลล์ดีภายในร่างกาย ซึ่งอีกไม่นานจะมีการแนะนำให้ใช้ capsaicin ในการรักษามะเร็ง นับเป็นการบำบัดแบบใหม่ที่มีทิศทางที่ดีในอนาคต
3. พริกป่นมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย ของกล้ามเนื้อหลังได้ดี คุณสามารถบำบัดอาการปวดเมื่อย ได้ที่บ้านด้วยการใช้พริกป่นใส่ลงในอาหารที่รับประทาน
4. พริกป่นช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติหลังจากมื้ออาหารที่คุณตัดลดคาร์โบไฮเดรตลงไป เพราะฉะนั้นจึงมีการศึกษาเพื่อจะใช้พริกป่นมาช่วยในการบำบัดรักษาโรคอ้วนอยู่ในขณะนี้
5. ส่วนผสมอันดับหนึ่งที่ช่วยในการทำความสะอาด หรือดีท็อกซ์ร่างกายก็คือพริกป่น เพราะในพริกป่นมีสารที่ช่วยกระตุ้นกระบวนการทำความสะอาดร่างกายด้วยตัวเอง ทั้งยังช่วยยับยั้งเมือกที่จับอยู่ภายในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ด้วย
อย่างนี้ต้องหาอาหารแซ่บด้วยพริกป่น มารับประทาน กันแล้วละ
ที่มา. นิตยสาร ขวัญเรือน
2. มีการศึกษาพบว่า capsaicin ในพริกมีความสามารถในการกำจัดเซลล์มะเร็ง โดยไม่ทำลายเซลล์ดีภายในร่างกาย ซึ่งอีกไม่นานจะมีการแนะนำให้ใช้ capsaicin ในการรักษามะเร็ง นับเป็นการบำบัดแบบใหม่ที่มีทิศทางที่ดีในอนาคต
3. พริกป่นมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย ของกล้ามเนื้อหลังได้ดี คุณสามารถบำบัดอาการปวดเมื่อย ได้ที่บ้านด้วยการใช้พริกป่นใส่ลงในอาหารที่รับประทาน
4. พริกป่นช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติหลังจากมื้ออาหารที่คุณตัดลดคาร์โบไฮเดรตลงไป เพราะฉะนั้นจึงมีการศึกษาเพื่อจะใช้พริกป่นมาช่วยในการบำบัดรักษาโรคอ้วนอยู่ในขณะนี้
5. ส่วนผสมอันดับหนึ่งที่ช่วยในการทำความสะอาด หรือดีท็อกซ์ร่างกายก็คือพริกป่น เพราะในพริกป่นมีสารที่ช่วยกระตุ้นกระบวนการทำความสะอาดร่างกายด้วยตัวเอง ทั้งยังช่วยยับยั้งเมือกที่จับอยู่ภายในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ด้วย
อย่างนี้ต้องหาอาหารแซ่บด้วยพริกป่น มารับประทาน กันแล้วละ
ที่มา. นิตยสาร ขวัญเรือน
คุณรู้จักน้ำส้มสายชูดีแค่ไหน
น้ำส้มสายชูเป็นของที่อยู่คู่ครัวไทยมานานนับพันปีแล้ว เพราะที่ใดที่มีแอลกอฮอล์หรือน้ำตาลและน้ำอยู่ก็จะมีแนวโน้มที่จะมีน้ำส้มสายชูเกิดขึ้นได้ แม่บ้านไทยโดยทั่วไปมักจะคุ้นเคยกับน้ำส้มสายชูกลั่น 5% ที่ลักษณะเป็นสีใสๆบรรจุขวดแก้ว ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ซึ่งมักจะหมักมาจากเอทิลแอลกอฮอล์
น้ำส้มสายชูเป็นผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมการผลิตไวน์หรือสุรา เนื่องจากเมื่อนำสุราหรือไวน์ที่มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์พอเหมาะมาตั้งทิ้งไว้ในสภาวะที่มีออกซิเจนสูง แอลกอฮอล์ก็จจะถูกเปลี่ยนเป็นกรดอะซิติก (Acetic Acid) และน้ำ ซึ่งในปัจจุบันนักวิจัยไทยกำลังจับจ้องให้ความสนใจกับเทคโนโลยีนี้ในเชิงอุตสาหกรรมอยู่ เนื่องจากเป็นขั้นตอนการผลิตที่ได้ผลิตภัณฑ์หลายอย่าง ตั้งแต่แอลกอฮอล์ (ไวน์หรือสุรา) น้ำส้มสายชูหรือกรดอะซิติก รวมถึงตัวยีสต์โปรตีนสูงที่ใช้หมัก ซึ่งสามารพนำมาทำแห้งและขายให้โรงงานอาหารสัตว์ได้อีกทาหนึ่ง เรียกได้ว่าใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าและขายเป็นผลิตภัณฑ์ได้ทุกอย่างเลยทีเดียว
อันที่จริงน้ำส้มสายชูในโลกมีหลากหลายชนิด ความแตกต่างขึ้นกับการเลือกเอาวัตถุดิบอะไรมาใช้ ซึ่งน้ำส้มสายชูที่ได้ก็จะมีกลิ่นหอม รสชาติและมักจะมีสีของวัตถุดิบนั้นติดตัวมาด้วยเสมอ( น้ำส้มสายชูจาไวน์แดงก็มักจะมีรงควัตถุที่ให้สีแดงอมม่วงติดมาด้วย) โดยน้ำส้มชนิดที่ดีที่สุดและนิยมใช้มากที่สุดทำมาจากองุ่นหรือไวน์ (น้ำส้มสายชูจากไวน์ขาวหรือไวน์แดง) ซึ่งจะให้กลิ่นที่หอมและเข้ากับการปรุงอาหารประเภทต่างๆได้มากกว่า น้ำส้มสายชูที่ทำจากวัตถุดิบอื่นๆก็เช่นพวกที่ทำจากแอปเปิ้ล ข้าวมอลต์ ข้าวบาร์เล่ย์ ข้าวโอ๊ต หรือแม้กระทั่งวัตถุดิบที่ไทยมีมากอย่างเช่น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว และมันสำปะหลัง ก็สามารถนำมาผลิตเป็นน้ำส้มสายชูได้
น้ำส้มสายชูเป็นผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมการผลิตไวน์หรือสุรา เนื่องจากเมื่อนำสุราหรือไวน์ที่มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์พอเหมาะมาตั้งทิ้งไว้ในสภาวะที่มีออกซิเจนสูง แอลกอฮอล์ก็จจะถูกเปลี่ยนเป็นกรดอะซิติก (Acetic Acid) และน้ำ ซึ่งในปัจจุบันนักวิจัยไทยกำลังจับจ้องให้ความสนใจกับเทคโนโลยีนี้ในเชิงอุตสาหกรรมอยู่ เนื่องจากเป็นขั้นตอนการผลิตที่ได้ผลิตภัณฑ์หลายอย่าง ตั้งแต่แอลกอฮอล์ (ไวน์หรือสุรา) น้ำส้มสายชูหรือกรดอะซิติก รวมถึงตัวยีสต์โปรตีนสูงที่ใช้หมัก ซึ่งสามารพนำมาทำแห้งและขายให้โรงงานอาหารสัตว์ได้อีกทาหนึ่ง เรียกได้ว่าใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าและขายเป็นผลิตภัณฑ์ได้ทุกอย่างเลยทีเดียว
อันที่จริงน้ำส้มสายชูในโลกมีหลากหลายชนิด ความแตกต่างขึ้นกับการเลือกเอาวัตถุดิบอะไรมาใช้ ซึ่งน้ำส้มสายชูที่ได้ก็จะมีกลิ่นหอม รสชาติและมักจะมีสีของวัตถุดิบนั้นติดตัวมาด้วยเสมอ( น้ำส้มสายชูจาไวน์แดงก็มักจะมีรงควัตถุที่ให้สีแดงอมม่วงติดมาด้วย) โดยน้ำส้มชนิดที่ดีที่สุดและนิยมใช้มากที่สุดทำมาจากองุ่นหรือไวน์ (น้ำส้มสายชูจากไวน์ขาวหรือไวน์แดง) ซึ่งจะให้กลิ่นที่หอมและเข้ากับการปรุงอาหารประเภทต่างๆได้มากกว่า น้ำส้มสายชูที่ทำจากวัตถุดิบอื่นๆก็เช่นพวกที่ทำจากแอปเปิ้ล ข้าวมอลต์ ข้าวบาร์เล่ย์ ข้าวโอ๊ต หรือแม้กระทั่งวัตถุดิบที่ไทยมีมากอย่างเช่น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว และมันสำปะหลัง ก็สามารถนำมาผลิตเป็นน้ำส้มสายชูได้
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ นางสาวภัทราพร สุทโธ ชื่อเล่น ผักกาด ^^"
เกิดวันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2536
ที่อยู่ปัจจุบัน 134 หมู่ 11 ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี 34190
โทรศัพท์ 085-4003001
อาหารที่ชอบ คะน้าหมูกรอบ ราดหน้า
สีสุดปิ๊ง เหลือง แดง
เพลงโปรด เผลอ
นักร้อง นิชคุณ หรเวชกุล
อีเมลล์ P-A-K-K-A-D-1-3@HOTMAIL.COM
หนังที่ชอบ twilight New Moon
คติ ไม่เอื้อมหาแล้วจะได้มันไหมล่ะ
เสนอโดย คุณครูวีระชน ไพสาทย์ ( ครูติ๊ก )
เกิดวันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2536
ที่อยู่ปัจจุบัน 134 หมู่ 11 ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี 34190
โทรศัพท์ 085-4003001
อาหารที่ชอบ คะน้าหมูกรอบ ราดหน้า
สีสุดปิ๊ง เหลือง แดง
เพลงโปรด เผลอ
นักร้อง นิชคุณ หรเวชกุล
อีเมลล์ P-A-K-K-A-D-1-3@HOTMAIL.COM
หนังที่ชอบ twilight New Moon
คติ ไม่เอื้อมหาแล้วจะได้มันไหมล่ะ
เสนอโดย คุณครูวีระชน ไพสาทย์ ( ครูติ๊ก )
สำหรับแม่...น้อยกว่านี้ได้ยังไง
พระนมแม่ ก่อล่าง สร้างชีวิต
พระนมแม่ ลิขิต ความคิดเห็น
พระนมแม่ ปั้นแต่ง ให้ลูกเป็น
พระนมแม่ เฉกเช่น ธราทอง
ท้องนาที ผืนใหญ่ ในโลกล่า
สร้างชีวา สรรพสิ่ง อย่างเป็นสอง
แม่สร้างลูก ปลูกใจ ให้ครรลอง
ด้วยมือสอง กราบตัก รักแม่จริง...จริง
สองมือแม่คนนี้ ที่เลี้ยงลูก
สองมือแม่พันผูก ลูกหนักหนา
สองมือนี้โอบอุ้ม แก้วดวงตา
สองมือนี้มีค่า กว่าสิ่งใด
สองมือกอดลูกน้อย ยามลูกหลับ
สองมือซับน้ำตา ยามหวั่นไหว
สองมือนี้อบอุ่น เกินกว่าใคร
สองมือแม่ลูกขอให้ ลูกตอบแทน
เสนอโดย คุณครูวีระชน ไพสาทย์ ( ครูติ๊ก )
พระนมแม่ ลิขิต ความคิดเห็น
พระนมแม่ ปั้นแต่ง ให้ลูกเป็น
พระนมแม่ เฉกเช่น ธราทอง
ท้องนาที ผืนใหญ่ ในโลกล่า
สร้างชีวา สรรพสิ่ง อย่างเป็นสอง
แม่สร้างลูก ปลูกใจ ให้ครรลอง
ด้วยมือสอง กราบตัก รักแม่จริง...จริง
สองมือแม่คนนี้ ที่เลี้ยงลูก
สองมือแม่พันผูก ลูกหนักหนา
สองมือนี้โอบอุ้ม แก้วดวงตา
สองมือนี้มีค่า กว่าสิ่งใด
สองมือกอดลูกน้อย ยามลูกหลับ
สองมือซับน้ำตา ยามหวั่นไหว
สองมือนี้อบอุ่น เกินกว่าใคร
สองมือแม่ลูกขอให้ ลูกตอบแทน
เสนอโดย คุณครูวีระชน ไพสาทย์ ( ครูติ๊ก )
วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2552
การทำงานของคอมพิวเตอร์
การทำงานของคอมพิวเตอร์
1. อะไรเปรียบเสมือนสมองของคอมพิวเตอร์ เพราะเหตุใด
ตอบ CPU หรือหน่วยประมวลผลกลาง เปรียบเสมือนเป็นสมองของคอมพิวเตอร์ เพราะ ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลและควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์
2. หน่วยแสดงผลคืออะไร มีกี่แบบ
ตอบ หน่วยแสดงผล คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล มี 2 แบบ คือ
1. แสดงผลบนจอภาพ
2. แสดงผลทางเครื่องพิมพ์
3. หน่วยความจำหลัก แบ่งได้กี่ประเภท อธิบายมาพอเข้าใจ
ตอบ หน่วยความจำหลัก เป็นหน่วยความจำที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งออกได้ 2 ประเภท
1. รอม - ใช้บรรจุโปรแกรมสำคัญที่ใช้ในการสตาร์ทอัพเครื่อง
- เก็บโปรแกรมคำสั่งไว้อย่างถาวร
2. แรม - ทำหน้าที่เก็บข้อมูลที่รับเข้ามาจากหน่วยรับข้อมูล
- เก็บผลลัพธ์ที่ด้จากการประมวลผล
4. อธิบายเกี่ยวกับ Mainboard มาพอสังเขป
ตอบ Mainboard หรือ แผงวงจรหลัก ใช้สำหรับติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางของคอมพิวเตอร์
1. อะไรเปรียบเสมือนสมองของคอมพิวเตอร์ เพราะเหตุใด
ตอบ CPU หรือหน่วยประมวลผลกลาง เปรียบเสมือนเป็นสมองของคอมพิวเตอร์ เพราะ ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลและควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์
2. หน่วยแสดงผลคืออะไร มีกี่แบบ
ตอบ หน่วยแสดงผล คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล มี 2 แบบ คือ
1. แสดงผลบนจอภาพ
2. แสดงผลทางเครื่องพิมพ์
3. หน่วยความจำหลัก แบ่งได้กี่ประเภท อธิบายมาพอเข้าใจ
ตอบ หน่วยความจำหลัก เป็นหน่วยความจำที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งออกได้ 2 ประเภท
1. รอม - ใช้บรรจุโปรแกรมสำคัญที่ใช้ในการสตาร์ทอัพเครื่อง
- เก็บโปรแกรมคำสั่งไว้อย่างถาวร
2. แรม - ทำหน้าที่เก็บข้อมูลที่รับเข้ามาจากหน่วยรับข้อมูล
- เก็บผลลัพธ์ที่ด้จากการประมวลผล
4. อธิบายเกี่ยวกับ Mainboard มาพอสังเขป
ตอบ Mainboard หรือ แผงวงจรหลัก ใช้สำหรับติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางของคอมพิวเตอร์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)